อัพเดทของเล่น ณ ตอนนี้

ของที่เขียน อาจจะไม่ใช่รุ่นล่าสุดนะ เพราะซื้อไว้นานแล้ว แค่ไม่ได้เขียนเท่านั้นเอง….


IMG_1424.jpeg

Sony WH-1000XM2

หูฟังบลูทูธตัวนี้ซื้อก่อนมันออกรุ่นสาม จากที่ไปลองๆหลายๆตัวมา คือหูฟังโซนี่นี่หละที่สุดของ Noise Cancellation แล้ว

ดีไซน์ไม่สวยเท่า Beoplay แต่ไม่ได้ดูเชยเหมือน Bose ใส่แล้วมองกระจกมันยังตะโกนว่าชั้นคืออารยธรรมอยู่ ไม่ใช่ใส่แล้วดูเป็นเครื่องประดับนึงหละ

ปุ่มมีปุ่มแบบกดได้สองปุ่ม (เปิดปิดเครื่อง+pairing กับ เปิดปิด Noise Cancellation หรือเรียก Google Assistance) ปุ่มอยู่หูด้านซ้าย ส่วนการคุมเพลงอยู่ที่หูด้านขวา เป็นระบบสัมผัส ซึ่งก็คุมได้ง่ายดี ไม่ค่อยเจอว่ามันทำงานผิด (ยกเว้นตอนใส่ฮูดเสื้อกันหนาวแล้วมันทำตัวเหมือนเป็นมือคน) มีโหมดเอามือมาครอบหูฟังแล้วจะให้เสียงเข้าได้ด้วย เผื่อเวลาต้องคุยกับคนอื่น (แต่มันตอบสนองช้าไปนิดนึง)

ของในกล่องมีเคสใส่หูฟังให้ แต่สายต่างๆต้องไปใส่ตาข่ายด้านนอกของเคส ดูไม่สวยงามเท่าไหร่ และด้วยสัณฐานที่ใหญ่ ถ้ากระเป๋าเล็กมันดูเปลืองที่เก็บ

ข้อดีคือ Noise Cancellation (ย่อๆว่า NC) นี่หละ เปิดมาปุ๊บ เสียงเกือบ 95% จะหายไปเกือบหมด ตอนนั่งเครื่องบินนานๆ แค่ใส่หูฟังเฉยๆ ไม่ต้องเปิดเพลงอะไร ก็รู้สึกเงียบแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อนหละ (พอถอดปุ้บนี่คือตกใจเลยว่าเครื่องบินเสียงมันดังขนาดนี้เลยเหรอ) อ่อ แล้วมันก็มีฟังก์ชันปรับเรื่อง NC ตามสภาพการใช้งานด้วย (คือมันเช็คความดันอากาศได้)

ข้อกลางๆคือเรื่องเสียง อยู่ในระดับดีถึงดีมาก เหมือนช่วงเสียงสูงมันโดนตัดลด ไม่ใสเท่า H6

มีที่น่าสังเกตุว่า ถึงแม้มันจะเสียบสายแบบไม่ต่อบลูทูธได้ แต่โหมดนี้ก็ควรจะเปิดเครื่องให้ Noise Cancellation ทำงาน เหมือนว่า Noise Cancellation มันใช้ Profile เสียงอีกตัว (ซึ่งส่วนตัวคิดว่าชอบมากกว่า)

ข้อไม่ดีคือไม่รองรับการใช้งานบลูทูธพร้อมกันหลายๆเครื่อง ต้อง Paring ใหม่ตลอด (ซึ่งพยายามอ่านรีวิวทั้งหลายแล้วไม่เห็นมีเขียนอะไรตรงนี้เลย) แต่แบบว่ามันลำบาก ตอนจะเปลี่ยนจากโทรศัพท์ไปใช้กับคอม เหมือนวิศวกรเน้นไปที่เรื่อง NC อย่างเดียว ไม่ได้เน้นเรื่องประสบการณ์ของผู้ใช้เท่าไหร่อะ

ที่ไม่ชอบคือเรื่องของไมโครโฟน รู้สึกว่าใช้คุยแล้วอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ยิน

มีแอปไว้ต่อกับคอม ถ้าจะเปิดตัว DSEE HX (equalizer ที่ช่วยเพิ่มมิติให้เพลง bitrate ต่ำๆ) ก็ต้องเปิดที่นี่ แต่เราว่าปิดดีกว่า แล้วมันก็ปรับความแรงของ Noise Cancellation ได้ด้วย เช่นอยากให้มีเสียงรอบข้างเข้ามาเยอะน้อย ก็ปรับในแอปได้

สำหรับคนทั่วไป ไม่แคร์เรื่องเสียง เราว่าดี แต่สำหรับเรา ขาดเรื่องของเสียงที่ยังไม่สุด กับดีไซน์ที่ไม่ตรงใจ แต่ชอบ NC มากๆ


_DSF3731.jpg

Apple Watch Series 4

44mm Stainless Steel

จากที่เคยรีวิว Series 0 ไป เรายังชอบในความที่มัน integrate กับ lifestyle ของเราอยู่ แต่ว่าใช้ไปนานๆแล้วมันช้าเหลือเกิน พอปลายปีที่แล้วมันออก Series 4 มาก็ซื้อตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายในไทยเลย (พุ่งเข้าร้านตอนห้างเปิด – มีรุ่น Stainless ขายแค่เรือนเดียวต่อไซส์อีก – แถมร้านคีย์ราคาผิดอีก ปวดใจ)

ตอนนี้เปลี่ยนขนาดจาก 38mm มาเป็น 44mm เพราะรู้สึกว่าใส่ได้ ซึ่งก็ใส่ได้พอดีกับข้อมือมากกว่าเรือนที่แล้วอีกนะ แถมด้วยมันโค้งมนกว่าเดิม ก็เลยไม่รู้สึกใหญ่มาก (อ่อ ซื้อรุ่น Stainless Steel ด้วย สีเงินมันสวย)

เราชอบความ over-engineering เรื่องนึงคือเม็ดมะยมมันหมุนแล้วมันจะสั่นเบาๆพร้อมๆกับมีเสียงออกจากลำโพงให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันมีแรงต้านอยู่ เป็นอะไรที่หลอก แต่ก็ยอมให้หลอก

ที่ชอบอีกอย่างคือจอ คราวนี้จอใหญ่เกือบเต็มหน้าปัดแล้ว แถมทำขอบมนอีก ไม่ขัดใจเหมือนรุ่นก่อนหน้า ที่ดูทีไรก็จะเห็นขอบหนา มารุ่นนี้คือไม่ขัดในจิตใต้สำนึกแล้ว

ที่ชอบเด่นๆอีกอย่างคือเรื่องแบต ถ้าไม่มีกิจกรรมหนักๆ ลืมชาร์จหนึ่งคืน ยังใช้ต่อได้ถึงเย็นๆอีกวัน (เช่น ขึ้นเครื่องบินไฟลท์ดึก ถึงเช้า กว่าจะเข้าที่พักก็มืด)

โหมด Cellular เราว่าก็เวิร์คนะสำหรับกิจกรรมบางอย่าง เช่น วิ่งออกกำลังกาย ฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ไปด้วย แต่ความขาดความครบวงจรคือประเทศไทยไม่มี Apple Pay และก็มันได้ Notification อย่าง Slack แต่ตอบกลับไม่ได้ T.T

เรื่องการใช้งาน ก็ใช้เหมือนๆเดิมอยู่ แต่ว่ามันทำให้เราประหยัดกับการซื้อนาฬิกาเรือนอื่นได้เยอะเลย เพราะซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ โดน ecosystem lock ไว้แน่นหนา

สรุป ชอบ และชอบมากกว่าเดิม เพราะทรง วัสดุ และจอ

ปล. เรื่องสายนาฬิกา ในรูปเป็นของก้อปนะ ฟังก์ชันเทียบเท่าของแท้ แต่ราคายังสองพันบาทเลย
ปล2. แม่เพื่อนใช้รุ่นนี้แล้วหกล้ม มันแจ้งเตือนลูกๆเลย


_DSF5287.jpg

Nintendo Switch

เนื้อหยาบมันคือ Tablet แต่พอเพิ่มเวทย์ของ Nintendo ไปแล้วมันกลายเป็น game console ที่ดีกว่า iPad อีก

คุณงามความดีของมันคือเล่นเกมฟอร์มยักษ์ได้ในแบบ”พกพา”นี่หละ และเล่นได้ด้วยความ”จริงจัง” (คือใช้ Joycon) แค่สองตัวนี้เราว่ามันตอบโจทย์เรา คืออยากเล่นในแบบท่าที่อยากเล่น (iPad เปลี่ยนตัวเราให้เป็นผู้ป่วยติดเตียงได้ การเล่นเกมก็ติดเตียงได้เหมือนกัน) จะเล่นในห้องน้ำ รถไฟ เครื่องบิน คือมันได้

ข้อดีคือเกมมันดี (เทียบกับมือถือคือมันคุมได้ซับซ้อนกว่าจอสัมผัส) ผู้พัฒนาใส่ใจทำเกมที่ไม่ใช่ Micro-transaction อะ แต่อย่าหวังกราฟิคแบบ PC/PS4 นะ เพราะอย่างที่บอกไปคือมันเป็น Tablet

ข้อเสียใหญ่คือใช้หูฟังบลูทูธไม่ได้

ส่วนข้อเสียใหญ่สุดคือชีวิตคนทำงานบางซื้อเกมก็ไม่ได้เล่น เหนื่อยแบบขอนอนเฉยๆ หรือไม่ก็ต้องเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแทน

ซื้อจากญี่ปุ่นถูกกว่า แต่รอเว็บขายของในไทยลดราคาช่วงท้ายปี มันลดพอๆกันเลย หรือจะรอรุ่นใหม่ก็ได้นะ

อุปกรณ์ที่อยากแนะนำ

  • Micro SD Card ความจุ 128GB – เพื่อซื้อ DLC ใน Online Shop และเกมตอนลดราคา
  • กล่องใส่แบบมีที่ใส่ตลับเกม (แบบบาง) – เราไม่ชอบใส่เคสเพราะมันหนา เลยหากล่องใส่แบบที่มันแข็งแรงและปริมาตรเล็กสุดมาแทน
  • Pro Controller สำหรับต่อทีวี – ถ้าต้องการจับแบบเต็มไม้เต็มมือก็ซื้อได้เลย
  • ฟิล์มกันรอยแบบกระจก – เพราะจอมันเป็นพลาสติก เป็นรอยง่าย ที่แนะนำให้ซื้อแบบกระจก เพราะการเสียบ Dock มันก็จะโดนขูดจอเหมือนกัน

_DSF2990.jpg

Apple HomePod

มาถึงตัวสุดท้ายคือลำโพงเล่นเพลงของแอปเปิ้ลหละ ไปสอยจากอังกฤษมา

จำกัดความลำโพงตัวนี้คือ เป็นลำโพงระบบปิด คือถ้าไม่มีอุปกรณ์ iOS ก็ Setup ไม่ได้ และหลังจากนั้นถ้าไม่มี macOS หรือ iOS ก็ต่อไปที่ลำโพงไม่ได้อีก ถ้าสักวันอารยธรรมล่มก็เป็นเศษขยะไปทันที

ระบบของตัวลำโพงเข้าใจว่าเป็น iOS แยกกิ่งออกมานะ อินเตอร์เฟสการใช้งานมีสองตัวคือ แตะแผ่นสัมผัสข้างบน กับสั่งงานด้วยสิริ ซึ่งก็ไม่รองรับภาษาไทย (มันถึงยังไม่มีขายในไทย)

เรื่องเสียง ยอมรับว่ามันดีงาม range เสียงกว้าง เสียงไม่แตก เร่งเสียงได้ดังดี ถ้ามี Apple Music ก็เล่นเพลงแยกจากเครื่องได้ (คอมเล่นเพลงนึง HomePod เล่นอีกเพลง)

ฟังก์ชันฉลาดๆ ตอนนี้เราก็ไม่ได้ใช้ ตอนนี้เอามาตั้งไว้ที่ทำงานเป็น Standup meeting alarm อยู่

ผ่านมาปีนึงหละตัวนี้ HomePod ยังอยู่ในสถานะ “ถ้าอยากลองและมีเงินเหลือก็ซื้อมาเล่นได้”

Roparat Sukapirom
Latest posts by Roparat Sukapirom (see all)