Yutoku Inari x Nagasaki
ตอนวางแผนทริปญี่ปุ่นครั้งล่าสุดนี่วันมันเหลือๆ ตอนแรกกะจะอยู่แค่ฟุกุโอกะอย่างเดียวสามวันแล้วหาของกินไปเรื่อยๆ แต่ว่าตั๋วมันเลื่อนได้อีกหนึ่งวัน เลยต้องมาวางแผนใหม่ ซึ่งก็เลือกวันนึงเป็นเก็บตกในเมืองนางาซากิ
แล้วก็เห็นว่าระหว่างทางมันมีวัดนึงที่ดูสวยดี แล้วก็ดูสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วย (หลังจากนั้นก็เลยรู้ว่ามันเป็นฉากในละครไทยเรื่องหนึ่ง)
ดังนั้นบล็อกนี้ ถึงจะเป็น 1 Day Trip แต่ถ้าลอกตรงๆนี่อาจจะโดนเพื่อนร่วมทริปด่าได้ เพราะว่ามันเป็นแบบไปตามใจฉันเกิน ข้าพเจ้าเลยขอเขียนไว้เป็นข้อมูลให้เลือกไปใช้หละกัน
ติดตามตอนเก่าได้ที่ ตะลุยเกาะคิวชู วันที่ 6: ครึ่งวันในนางาซากิ
Yutoku Inari Shrine
Yutoku Inari เป็นศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่สำคัญหนึ่งในสามของญี่ปุ่น (อีกสองที่คือ Fushimi Inari ที่เกียวโต กับ Kasama Inari ที่อิบารากิ) แต่เนื่องจากเราไม่ได้นับถือเทพเจ้า สิ่งที่จะมาชมคือความงามของตัวศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขานี่หละ
นอกจากนี้ที่ศาลเจ้านี้ก็จะมีงานฤดูใบไม้ผลิทุกวันที่ 8 เมษา (Tamagae) และงานฤดูใบไม้ร่วงวันที่ 8 ธันวา (Ohitaki – ข้าพเจ้าไปวันที่ 7 นี่คือค้นข้อมูลหลังกลับมาแล้ว รู้สึกเจ็บแปลบนิดๆว่าทำไมไม่ไปวันนั้นแทน – งานเริ่มสิบเอ็ดโมงถึงสามทุ่ม ซึ่งตอนกลางคืนมีจุดไฟบูชาด้วย น่าไปดู)
นอกจากนี้ใกล้ๆกันก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ของวัดนี้ จัดแสดงวัตถุมีค่าต่างๆ
การเดินทาง นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Hizen-Kashima (JR Nakasaki Line) แล้วก็เดินมาที่ตึกรถบัส ชานชลาเบอร์ 3
และด้วยที่ว่าศาลเจ้านี้เป็นศาลเจ้าที่ดังในญี่ปุ่น ตั้งแต่ลงจากป้ายรถบัสเราก็จะเจอถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของฝาก ของที่ระลึกเยอะมาก (แต่ตอนที่มาเป็นตอนเช้า ร้านยังไม่ค่อยเปิดกันเท่าไหร่)
ก่อนถึงตัวศาลเจ้ามันจะมีอาคารอเนกประสงค์อยู่ด้านในด้วย ซึ่งตอนเราไปก็จะมีขายของกินอยู่ และก็จะมีสวนอยู่ด้านหลัง ซึ่งถ้าตอนใบไม้เปลี่ยนสีก็น่าจะสวยอยู่ แต่ตอนเราไปมันเลยจุดพีคแล้ว
การขึ้นมาสักการะตอนนี้ยังต้องเดินขึ้นบันไดอยู่ แต่เห็นว่าเค้ากำลังสร้างลิฟท์อยู่ ก็น่าจะสะดวกขึ้น
คนทั่วไปขึ้นมาไหว้พระแล้วก็จบ แต่เนื่องจากทางมันยังมีต่อ ข้าพเจ้าก็เดินขึ้นไปสิครับ ซึ่งเค้าบอกว่าจะมีจุดชมวิวที่ยอดเขาด้วยนะ
เมื่อสมควรแก่เวลา เพราะต้องไปเมืองนางาซากิอีก ก็ลงมา แวะซื้อขนมที่ร้านของฝากหนึ่งอย่าง คือโยกัง (วุ้นถั่วแดงบด) บรรจุภัณฑ์เป็นหลอด เอาไว้ดันๆแล้วตัดกิน ซึ่งก็หวานปรี๊ด เหมาะกินกับชา
Yutoku Inari Shine
นอกจากนี้ที่ศาลเจ้านี้ก็จะมีงานฤดูใบไม้ผลิทุกวันที่ 8 เมษา (Tamagae) และงานฤดูใบไม้ร่วงวันที่ 8 ธันวา (Ohitaki – งานเริ่มสิบเอ็ดโมงถึงสามทุ่ม ซึ่งตอนกลางคืนมีจุดไฟบูชาด้วย น่าไปดู)
นอกจากนี้ใกล้ๆกันก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ของวัด จัดแสดงวัตถุมีค่าต่างๆ
การเดินทาง นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Hizen-Kashima (JR Nakasaki Line) แล้วก็เดินมาที่ตึกรถบัส ชานชลาเบอร์ 3
Nakasaki
เนื่องจากครั้งที่แล้วมานางาซากิแล้วเที่ยวสถานที่อย่างเดียว ไม่ได้กินของดังของเมืองนี้เลย คราวนี้ก็เลยจัดแต่ของกิน (นี่ยังน้อยกว่าทริปคันไซก่อนหน้านี้นะ อันนั้นยังไม่ได้เขียนบล็อก แต่กินแหลก กินจนน้ำหนักขึ้น)
Nagasaki 2015
ขั้นแรก เนื่องจากตอนนั้นกระเช้ามันซ่อมอยู่ ก็เลยต้องไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ซึ่งก็ได้ความว่ามีบริการรถทัวร์เป็นรอบๆอยู่ ซึ่งมันเปิดให้จองตอนบ่ายโมง ซึ่งเรามาถึงก่อนหน้านั้นไม่นานก็เลยรอจองก่อน (แต่ตอนนี้ซ่อมเสร็จแล้ว น่าจะสะดวกขึ้นเยอะ)
หลังจากเสร็จธุระ ก็ขึ้นรถรางไปลงที่ป้าย Tsukimachi เพื่อไปยัง China Town คราวนี้เราตามหาของกินขึ้นชื่อคือ จัมโบะราเมง
ร้านที่กินคือร้าน 会楽園 เข้ามาไชน่าทาวน์ด้านแม่น้ำก็อยู่ด้านซ้ายเลย ร้านนี้ก็เลือกมาจากในหนังสือนำเที่ยวของญี่ปุ่นซึ่งมันมีหลายร้านที่แนะนำ
หลังจากซดเข้าไปคำแรก ก็ยอมรับหละว่ามันอร่อยจริง ผักมันนุ่ม (ถั่วงอกไม่เหม็นเขียว เจ๋ง) ซุปก็ทำกลมกล่อมดี ร้านฮาจิบังชิดซ้ายแบบตกคูข้างทางไปเลย
แต่สั่งราเม็งมากินแค่นั้นก็ไม่ใช่ข้าพเจ้า มีที่สั่งมาอีกอย่างคือหมั่นโถวหมูสามชั้น รสชาติกำลังดี
Kai Rakuen 会楽園
ตัวจัมโบะราเม็งหลังจากซดเข้าไปคำแรก ก็ยอมรับหละว่ามันอร่อยจริง ผักมันนุ่ม (ถั่วงอกไม่เหม็นเขียว เจ๋ง) ซุปก็ทำกลมกล่อมดี ร้านฮาจิบังชิดซ้ายแบบตกคูข้างทางไปเลย
นอกจากจัมโบะราเม็ง ก็ยังมีอาหารจีนอย่างอื่นให้ลอง หมั่นโถวหมูสามชั้น รสชาติกำลังดี แป้งหมั่นโถวก็ปั้นมาในแบบที่ไม่ต้องฉีกแป้ง เอาเนื้อหมูสามชั้นไปวางสอดไส้ได้เลย (เจ๋งไหมหละ)
เมื่อกินเสร็จ สิ่งที่ทำอันดับถัดไปคือการเดินย่อย เพื่อไปกินขนมต่ออีกร้านนึง ซึ่งก็ติดอันดับต้นๆใน tabelog คือ Sponge Cake ของร้าน Baigetsudo รสชาติก็อร่อยแบบไม่เลี่ยนนะ แต่อาจจะไม่ใช่แนวเรา แต่ก็ดี สมควรมาลอง
Baigetsudo
ขนมที่มีชื่อเสียงของร้านนี้คือ Sheath Cake เป็นเค้ก spong ที่ออกจะนุ่มๆละมุนปาก สอดไส้คัสตาร์ดครีม แล้วท้อปปิ้งด้วยครีม สัปปะรดและพีช ให้รสชาติที่เข้ากันดี ไม่หวานจนเลี่ยนเกินไป สมควรมาลอง (กาแฟที่นี่ก็โอเคด้วยหละ)
จากนั้นก็กินต่ออีก คราวนี้เป็นร้านคาเฟ่ต์บรรยากาศโบราณ อยู่ในซอกหลืบ (ตามมาจากหนังสือนำเที่ยวนี่หละ) คือร้าน 南蛮茶屋 เรียกว่าเป็นร้านชิวดีกว่า เพราะสั่งกาแฟไปทีนี่รอไปสักยี่สิบนาทีกว่าจะได้ (เป็นกาแฟฟิลเตอร์) แล้วก็มีขนมแนะนำอีกอย่างคือชีสเค้ก ที่เราว่าเค้าแช่แข็งไปหน่อย (ต้องรอให้มันละลายสักนิด น่าจะกำลังดี)
Namban Chaya 南蛮茶屋
ของที่แนะนำของที่นี่คือกาแฟฟิลเตอร์ ซึ่งเราว่าก็ดีเลย (เค้ามีถามว่าอยากได้เข้มประมาณไหน) แต่ว่าอาจจะต้องใจเย็นนิดนึงเพราะว่าลุงเค้าทำนานมากกกกกกกก
และที่แนะนำอีกอย่างคือชีสเค้ก แต่วันที่เราไปกินรู้สึกว่าเค้าแช่แข็งไปหน่อย ถ้ารอให้ละลายก็จะอร่อยกว่านี้
หลังจากกินเสร็จ ก็เดินมาอีกนิดก็ถึงสะพานแว่น (มาอีกแล้ว) ถ้าสังเกตุการเดินของเราก็น่าจะเห็นหละว่านี่ก็เดินมาจากย่านไชน่าทาวน์จนถึงสะพานแว่น แวะหาของกินไปเรื่อยๆ
และที่มาสะพานแว่นนี่ก็ไม่ใช่อะไร มาหาขนมอีกเช่นเคย คราวนี้เป็นคัสเทลล่าชื่อดังอีกร้านคือของ 長崎菓寮 匠寛堂
Shokando 長崎菓寮 匠寛堂
ที่ร้านจะเป็นร้านขายอย่างเดียว ไม่มีโซนนั่งกินนะ แต่ว่าเค้าจะมีแซมเปิลให้ลอง เสิร์ฟพร้อมชาเขียว ก็ใกล้ๆกับการสั่งมากินเลย แหะๆ
กล่องนึงก็ราคาใช่ย่อยอยู่ แต่ของเค้าทำดี (มีหลายรสชาติให้เลือกด้วย)
ถ้าให้พูดถึงรสชาติ เราว่ามันให้รสคล้ายฝอยทองนะ แหะๆ น่าจะเป็นเพราะไข่เยอะ แล้วมีเกล็ดน้ำตาลหวานนิดๆด้วย
เราจบการกินแค่นี้ก่อน เพราะว่าต้องกลับไปสถานีรถไฟแล้วหละ
Inasa Observatory Point
ตอนนี้ก็ต้องนั่งรถทัวร์เพื่อขึ้นไปจุดชมวิวที่ภูเขา Inasa ไปดูจุดชมวิวที่ได้รับการขนานนามว่า Million Dollar View กัน (อีกที่ก็ที่ Hakodate) อันนี้ไม่ได้ถ่ายบรรยากาศสถานที่เลย เพราะว่าต้องทำเวลา (มีเวลาถ่ายรูปแค่ยี่สิบนาที) ขาตั้งกล้องที่แบกมาทั้งวันก็ใช้แค่นี้หละ
เวลาที่เหมาะสม ก็คล้ายๆกับตอนไปฮาโกดาเตะ คือควรไปก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้า หามุมก่อน แล้วก็รอจังหวะที่ตัวเมืองเปิดไฟกัน แบบนี้จะได้ทั้งแสงบนฟ้า และแสงจากเมือง ขาตั้งกล้องก็สมควรแบกไป เพราะถ่ายรูปแบบนี้ต้องเปิดหน้ากล้องนาน (แต่ถ้าไม่เคร่งเรื่องถ่ายรูป ก็ไปตอนกลางวันก็ได้นะ ถ่ายเห็นหน้าตัวเองพร้อมวิวง่ายกว่า)
การเดินทาง ถ้าจะขึ้นกระเช้าก็นั่งรถรางไปลงที่ Takaramachi แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที หรือจะนั่งรถบัสมาลงที่หน้าสถานีกระเช้าก็ได้ (แต่ต้องไปถาม Tourist Center นะว่าสายไหน)
Inasa Observatory Point
การขึ้นมาชมก็ต้องนั่งกระเช้าขึ้นมา แล้วก็เดินขึ้นตัวอาคารอีกประมาณสี่ชั้น ข้างในถ้าจำไม่ผิดก็จะมีร้านอาหาร ร้านของฝาก แต่คราวที่ไปกระเช้าซ่อม ค่อนข้างรีบเลยไม่ได้ถ่ายบรรยากาศอย่างอื่นมา
การเดินทาง จาก JR Nagasaki นั่งรถบัสสาย 3, 4 มาลงที่ Nagasaki Ropway Front
จากนั้นรถก็มาส่งที่สถานีรถไฟ ระหว่างรอรถไฟก็แวะไปอีกหนึ่งคาเฟ่ต์ อยู่ที่ตึกนี่หละ ชื่อ ウミノ
Cafe & Bar Umino ウミノ
ที่ลองกินคือแซนวิซไส้วิปครีมกับผลไม้ (ในชุดเลือกได้ว่าจะเอาชาหรือกาแฟ) ไม่หวานมาก แต่แป้งขนมปังมันนุ่มและหอมเนยมาก ร้านในไทยควรเลียนแบบบ้าง
จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับสถานีฮากาตะ ต่อรถไฟใต้ดินกลับโรงแรมที่เทนจิน
Late Night Meal
แต่ก็ยังไม่จบ ใกล้ๆโรงแรมมียาไตเจ้าดังของฟุกุโอกะ ชื่อร้าน 小金ちゃん ซึ่งไหนๆมาแล้วก็จัดต่ออีกหน่อยหละกัน ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องไข่หวานไส้เมนไทโกะ แล้วก็ยากิราเมง (เส้นราเมงมาผัดแบบยากิโซบะ)
Kokinchan 小金ちゃん
ที่เค้าแนะนำก็จะเป็นไข่หวานไส้เมนไทโกะ (เป็นอาหารที่ผสานของขึ้นชื่อของเมืองฟุกุโอกะได้อย่างลงตัว) อีกอย่างคือยากิราเมง (เส้นราเมง เอามาผัดแบบยากิโซบะ กินคู่กับมัสตาร์ตแก้เลี่ยน) ซึ่งมันอร่อยทั้งคู่
นอกจากร้านนี้จะปิดประจำสัปดาห์แล้ว ร้านนี้ปิดวันฝนตก แต่ก็ควรจะลองไปเดินดูหน่อย
หลังจากนั้นก็… พอหละ ยัดอะไรเข้าท้องต่อไม่ได้แล้ว กลับโรงแรมนอน
รภรัตน์
- Herman Miller Aeron Chair - 11 Apr 2020
- อัพเดทของเล่น ณ ตอนนี้ - 19 May 2019
- #หมดpassion - 10 Nov 2018
[…] มีตอนของกินโดยเฉพาะแล้วนะ ตามไปดูที่ นางาซากิ (ภาคที่สอง) ได้ […]