Autumn in Japan – Chugoku – Akiyoshido & Yamaguchi
นี่เป็นวันที่ 8 ของการเดินทาง ซึ่งเป็นวันในซีรียส์การเที่ยวช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ดูไม่มีสีสันสุดหละ
จากคำแนะนำของรุ่นพี่คืนก่อนหน้า ข้าพเจ้าเลยเปลี่ยนแผนแบบกระทันหัน
จังหวัดยามากุชิในภูมิภาคชุโกคุอาจจะยังเป็นที่ไม่รู้จักมาก แต่ที่น่าจะผ่านตาและอยู่ในแพลนการไปเที่ยวของหลายๆคนคือสะพาน Kintai-kyo ที่เมือง Iwakuni (ซึ่งเลยจากฮิโรชิม่าไปไม่ไกล) แต่สำหรับคนเที่ยวด้วยเส้นทางระหว่างเกาะคิวชูกับคันไซ ภูมิภาคนี้ก็ยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่ง ทริปนี้ของข้าพเจ้าเลยขอแวะสองที่นี้ก่อน
การเดินทางเริ่มต้นจากฮิโรชิม่า นั่งชิงกันเซนมายังสถานนี Shin-Yamaguchi ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็นั่งรถบัสอีกประมาณสี่สิบห้านาทีเพื่อไปถ้ำหินย้อยที่เป็นถ้ำใหญ่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นกัน ซึ่งก็คือถ้ำ Akiyoshido
Akiyoshido
ตัวถ้ำนี้ อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Akiyoshidai จังหวัดยามากุชิ ซึ่งจริงๆแล้วภูเขา(หินปูน)ที่เป็นที่อยู่ของถ้ำนี้ก็คือชื่อ Akiyoshidai นั่นหละ ส่วนตัวถ้ำที่บอกว่าใหญ่ที่สุดนั้นจริงๆมีเส้นทางความยาวถึงแปดกิโลเมตร แต่ว่าเส้นทางที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมนั้นมีความยาวเพียงแค่หนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น
คำเตือน: เนื่องจากกระผมใช้เวลาเตรียมตัวหนึ่งคืนล่วงหน้า ข้อมูลที่ใช้เที่ยวก็จะค่อนข้างสดมาก ตอนกลับมาเขียนก็ยังไม่ได้ค้นละเอียด ถ้ามีอะไรผิดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย (ถ้าทักมาด้วยก็ดีนะครับ)
การเดินทางจากสถานีรถไฟ ก็ได้ทั้ง JR Yamaguchi หรือ Shin-Yamaguchi เลย ถ้านั่งจาก Yamaguchi ก็สามารถใช้ JR Pass ขึ้นรถบัสได้ฟรี แต่ถ้ามาจาก Shin-Yamaguchi ก็ต้องเสียเงินเพิ่ม (ตารางเวลา)
ถึงป้าย ก็จะพบกับถนนที่เป็นร้านรวงขายทั้งของที่ระลึก ทั้งอาหารต่างๆ แต่วันนี้ต้องทำความเร็ว ก็เดินจ้ำอ้าวไปถึงทางเข้า (โบว์ชัวร์ที่หยิบติดมาจากโรงแรมได้ส่วนลดนิดหน่อย)
จะว่าถึงเส้นทางการเดิน มันก็เป็นทางเดินได้ทางเดียว แต่มีลิฟท์กลางทาง และปลายทาง ที่เข้าใจตอนนั้น (จนถึงตอนเขียนนี่)ก็คือว่าจะกลับก็ต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิม ส่วนปลายทางจะเป็นจุดชมวิว ซึ่งก็ต้องเดินขึ้นทางชันนิดๆอีกประมาณสิบนาที ถ้าเป็นคนปกติควรจะเผื่อเวลาไว้สองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ทางเข้าถ้ำไม่จำเป็นต้องปีนป่ายอะไร ก็คือเดินเรื่อยๆเลย ทางเราคิดว่ามันทำดีแบบไม่มีสะดุด มีทางชันแต่เค้าก็ทำเป็นบันได ซึ่งคิดว่าคนอายุเยอะก็มาเที่ยวได้ (แต่ต้องค่อยๆเดิน) เที่ยวสบายกว่าเมืองไทย
ที่นี่โชคดีที่มีทางเดินทำด้วยไม้ และมีรั้วซึ่งมีเสาเป็นระยะๆ ดังนั้นการถ่ายรูปไม่ให้สั่นก็แค่วางกล้องบนเสา หรือวางบนพื้นไปเลย (ไม่เปียก ไม่ทำลายธรรมชาติ) แต่ก็หามุมที่ไม่ขวางทางเดินด้วยนะครับ
เมื่อเดินไปจนสุด ก็จะมีลิฟท์ให้ขึ้นไปข้างบน ซึ่งอย่างที่บอกไปคือออกจากลิฟท์แล้วต้องเดินไปสักพักถึงจะถึงจุดชมวิว
ทางที่เห็นข้างล่างก็สามารถเดินได้ ซึ่งถ้าเดินไปก็จะเห็นเป็นทุ่งหญ้าพร้อมกับหินหลายๆก้อน (น่าจะเป็นหินปูนที่โดนเซาะ) ถ้าใช้เวลาที่นี่นานก็ออกไปเดินก็ได้นะ
เมื่อได้เวลาแล้ว ก็ต้องรีบเดินย้อนกลับไปเพื่อให้ขึ้นทันรถบัส (อย่าเรียกว่าเดิน แทบจะวิ่ง) ซึ่งไปถึงจริงๆก็ช้ากว่าในตารางรถบัส ในใจก็คิดไว้แล้วว่าก็คงจะหาของกินแล้วรอรถรอบถัดไป แต่เผอิญว่ารถบัสก็มาช้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นก็เลยกระโจนขึ้นรถบัสอย่างหน้าตาตื่น ไม่ได้กินข้าวเที่ยง
Yamaguchi – Rurikoji Temple
รถบัสคันที่นั่ง เป็นคนละสายกับขามา เพราะว่าข้าพเจ้าจะไปอีกที่หมายนึงคือเมืองยามากุชิ
และข้าพเจ้าทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวแผ่นดินใหญ่มาก คือเห็นรูปในหนังสือมันสวยก็เลยมา
เมืองยามากุชิเป็นเมืองหลวงของจังหวัดยามากุชิ ซึ่งถ้าดูด้วยขนาดตัวเมืองแล้วเราว่ามันอยู่ในขนาดกลางๆไม่ค่อยวุ่นวาย ที่เที่ยวที่ดังที่สุดก็คงจะเป็นวัด Rurikoji ส่วนออนเซ็นใกล้ๆก็จะเป็น Yuda Onsen (นั่งรถบัส JR จากสถานีไปได้ – สายเดียวกับ Akiyoshido) ถ้าใครอยากนั่งรถจักรหัวไอน้ำก็จะมีสาย SL Yamaguchi ด้วย
มีจุดที่พลาดนิดหน่อยคือ นั่งรถบัสเพลินจนไปถึงสถานีรถไฟ ทั้งๆที่มันจะมีป้ายที่อยู่ไม่ไกลจากวัด Yamaguchi มาก คือลงที่ศาลาว่าการเมืองเก่า (ที่ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์) แล้วก็เดินไปอีกประมาณสิบนาที (ค่อนข้างไกลอยู่ – จริงๆมันมี loop bus แต่ว่าถ้าจะมาที่เดียวรู้สึกว่ามันเปลือง สายประหยัดก็พึ่งแรงขาตัวเอง)
เดินเที่ยวชมเมืองตามทางขึ้นไหล่เขา สักพักก็ถึงแล้ว วัด Rurikoji (เข้าชมฟรี พิพิธภัณฑ์ในตัววัด 300 เยน)
ที่ต้องมาถึงเมืองยามากุชิ ก็คือวัดนี้หละ เป็นวัดที่มีเจดีย์ห้าชั้น ที่ยิ่งใหญ่ติดหนึ่งในสามของญี่ปุ่น และก็เช่นเคยสำหรับวัดญี่ปุ่น สวนที่จัดไว้รอบๆ ก็ช่วยดันความสวยของเจดีย์ไปอีก
นอกจากเจดีย์แล้ว ก็ยังมีส่วนของวัด และก็ส่วนของสุสาน ซึ่งก็เดินขึ้นไปดูวิวตัวเมืองยามากุชิได้อีกด้วย
Aftermath
หลังจากเดินได้สักพักข้าพเจ้าก็บอกกับตัวเองว่าพอแล้ว ไม่ได้กินข้าวจะทั้งวันแล้ว ก็เดินลงมาขึ้นรถบัสกลับสถานี (จำได้แม่นว่าที่ซื้อกินคือขนมปังยากิโซบะ แต่ก็กินไม่หมดเพราะรับปริมาณแป้งไม่ได้)
จากนั้นขึ้นรถไฟไปสถานี Shin-Yamaguchi เพื่อนั่งต่อไปสถานี Hakata ผ่าน Kokura ที่ตอนแรกตั้งใจจะไปขึ้นกระเช้าที่จุดชมวิว แต่วันนี้เดินเยอะ วิ่งด้วย เลยหมดสภาพไปก่อน (และขาตั้งกล้องอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ที่รอคอยอยู่ที่โรงแรมแล้ว – ดูจุดชมวิวตอนพระอาทิตย์ตกก็ต้องมีขาตั้งกล้องไปสิ ใช่ม่ะ)
เนื่องจากรูปข้างบนเป็นรูปสุดท้ายของวัน ข้าพเจ้าก็เลยจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรต่อที่ฟุกุโอกะ ตัดจบดื้อๆแบบนี้หละ
รภรัตน์
ปล. ในบล็อกที่ยังไม่ได้เขียน วันกลางๆนี่เดินในเกียวโตเยอะจนเท้าเจ็บ วันที่จะมาแถบนี้เลยไม่ได้แบกขาตั้งกล้องไปด้วย ให้โรงแรมใช้แมวดำส่งกระเป๋ามาที่โรงแรมในฟุกุโอกะเลย (ขอบอกว่าสะดวกมาก เช็คอินแล้วกระเป๋าตั้งอยู่ในห้องพร้อม)
- Herman Miller Aeron Chair - 11 Apr 2020
- อัพเดทของเล่น ณ ตอนนี้ - 19 May 2019
- #หมดpassion - 10 Nov 2018