Apple Watch – 1st Week
เราควรจะยอมรับว่าตัวเองเป็น Early Adopters ได้แล้วหละนะ
อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆจากแอปเปิ้ล ทำตัวเลียนแบบนาฬิกา แต่จริงๆแล้วเป็นคอมพิวเตอร์ทรงประสิทธิภาพที่อาศัยอยู่บนข้อมือ
ก่อนที่จะทิ้งช่วงนานไป ขอเขียนเกี่ยวกับความประทับใจ (และไม่) ในสัปดาห์แรกดีกว่า
มันคืออะไร?
Apple Watch เป็น Digital Watch ยุคใหม่ ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ (ไอโฟนอย่างเดียว) เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หน้าจอเป็นระบบสัมผัส มีเม็ดมะยมที่สามารถเลื่อนข้อมูลบนจอได้ มีปุ่มที่เรียกรายชื่อที่ตั้งไว้เพื่อติดต่อทั้งทางเสียง ข้อความ หรือการแตะ มีเซ็นเซอร์วัดการเต้นของหัวใจกับเซ็นเซอร์วัดการเคลื่อนไหวของร่างกาย สามารถรันแอปเพื่อดูข้อมูล หรือสั่งงานเล็กๆน้อยๆได้ และสามารถส่งการแจ้งเตือนจากไอโฟนมายังตัวนาฬิกาได้
พอดีแอปเปิ้ลทำวิดิโอแนะนำการใช้งานขั้นต้นมาแล้ว เลยไม่ขออธิบายมาก กดดูแล้วกันนะ
รุ่นที่ใช้: Apple Watch Sport – 38mm Silver Aluminum Case with White Sport Band
ได้แต่ใดมา?: Yodobashi Camera – พอดีมีพี่ที่รู้จักไปเที่ยว แล้วส่งข้อความว่ามีของ ตบะเลยแตกตั้งแต่บัดนั้น (แต่ก็มีแต่ Sport และก็ 38mm นะ สีก็มีไม่ครบ)
เล็กกว่าที่คิดไว้เยอะ
แต่กล่องจะใหญ่ไปไหน หนักด้วย
กระบวนการแกะกล่องหาดูได้ตามยูทูป แต่มันจะมีบางอย่างให้ดูตื่นเต้นๆ เหมือนกำลังแกะห่อของขวัญอยู่ (ตอนเปิดกล่อง เราจับที่ฝากล่องแล้วยกมัน ตัวกล่องจะค่อยๆเลื่อนลงมา เจอกล่องใส่นาฬิกาที่มีพลาสติกหุ้มอยู่ มันก็จะมีแถบให้เราค่อยๆดึงออก จากนั้นก็เปิดกล่อง เจอนาฬิกาแล้ว ก็ยังมีพลาสติกหุ้มอีกทีนึง – จุดนี้มันก้าวเกินกล่องขนมของฝากจากญี่ปุ่นไปแล้ว)
พอเห็นตัวนาฬิกา ขอบอกว่ามันเล็กกว่าที่คิดไว้มาก พอๆกับนาฬิกาที่เราใส่ตอนนี้เลย
ถ้าตามความคิดเราก็คือ Apple Watch รุ่น 38mm จะเป็นขนาดใหญ่สุดของนาฬิกาที่ผู้หญิงใส่แล้วยังดูดีอยู่ ส่วนผู้ชายถ้าชอบนาฬิกาเล็กๆแบบเราก็จะกำลังพอดี
เรื่องจอ ตอนแรกๆคิดว่าเล็กไปหน่อย (แต่ใหญ่กว่าจอ Pebble) แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร (ถึงขั้นปรับฟอนท์ให้เป็นขนาดเล็กสุดก็ยังอ่านได้) ถ้าคนสายตาไม่ดีก็อาจจะต้องเลือกรุ่น 42mm แทน
ส่วนเรื่องงานวัสดุ งานประกอบ เรียกว่าเนี้ยบมาก คงต้องเรียกว่าเป็นมาตรฐานของแอปเปิ้ลไปแล้ว ส่วนเรื่องรูปทรงอาจจะมีคนไม่ชอบเพราะจอเหลี่ยม แต่ตามความรู้สึกส่วนตัวคือมันเรียบง่าย สัดส่วนดูเหมาะเจาะ มีอัตลักษณ์ของแอปเปิ้ลมาเต็มๆ (นึกถึงไอโฟนรุ่นแรก) ที่สำคัญคือถ่ายรูปออกมาแล้วสวยหละ
การยกแขนเพื่อเปิดจอใช้งานได้ดีมาก
ส่ิงที่กังวลสำหรับการใช้งานคือ จอมันจะเปิดเมื่อเราอยากดูข้อมูลหรือเปล่า ในเมื่อจอมันดับตลอดเวลา
แต่ว่าจากการใช้จริงแล้ว ขอบอกว่ามันเวิร์คมาก เพราะว่ามันใช้ท่าทางของการดูนาฬิกา ถ้าแขนทิ้งตัวอยู่ ก็ยกมาแบบจะดูเวลา จอมันก็จะเปิด พอดูข้อมูลเสร็จปล่อยแขนลงตามเดิมจอก็จะดับ เพื่อประหยัดแบตให้มากที่สุด (ประทับใจกับการออกแบบอย่างนี้)
ท่าต่อมาที่ไม่คิดว่าจะมี ก็อย่างท้าวคางอยู่แล้วอยากดูเวลา ก็ลดแขนลงมา จอก็เปิดอีก! (ยิ่งค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช้ Machine Learning มา Train แน่ๆ)
แต่พอเริ่มท่ายากหน่อยอย่างกำลังพิมพ์งานอยู่ จะชำเลืองมองไม่ได้หละ มันก็ต้องมีการขยับข้อมือนิดๆ เพื่อเปิดหน้าจอ อันนี้เป็นข้อด้อยเมื่อเทียบกับนาฬิกาจริงๆและ Smartwatch เจ้าอื่น
ถ้ายังเปิดไม่ขึ้นก็เอานิ้วแตะหน้าจอไปเลย
ส่วน False Positive (คือจอเปิดเมื่อไม่ได้ต้องการจะให้เปิด) นี่น้อยมาก หรือไม่มี แต่ถ้านับตอนจอปิดตอนที่ไม่อยากให้ปิดก็มีเยอะ ถ้าเราเคลื่อนที่อยู่ อย่างตอนวิ่ง นั่งมอไซด์อะไรประมาณนี้
เวลาจอดับ ถ้ามาจากการขยับข้อมือจะเปิดแค่ 6 วิ ถ้าแตะจอหรือกดปุ่มก็จะเป็น 16 วิ ยกเว้นจะขยับแขนให้จอดับก่อน
การแจ้งเตือนดีกว่าไอโฟน

ต่อไปนี้การจิกกัดกันผ่านทวิตเตอร์ก็จะดูไฮโซขึ้นมาทันที (ต้นทาง)
หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของนาฬิกาประเภทนี้คือการโชว์การแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ ส่วนตัวโทรศัพท์ก็จะอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไร (จอจะไม่เปิดเวลามีแจ้งเตือนหละ ประหยัดแบตได้อีกหน่อย) ส่วนนาฬิกาก็จะเคาะๆแขนให้เรารู้สึกตัว
ทีนี้สิ่งที่การแจ้งเตือนมันทำได้ก็เหมือนกับที่เราทำบนโทรศัพท์ได้ มันก็จะมีตัวเลือกมาให้เราเหมือนๆกับที่เราปัดไปด้านซ้ายบนโทรศัพท์ (อย่างอีเมล์ก็มีให้กดเพื่อลบเมล์) แต่ว่าถ้าแอปที่อัพเดทแล้ว มันจะโชว์ข้อมูลได้มากขึ้น เช่นไลน์จะโชว์รูป โชว์สติกเกอร์ได้เลย ดีกว่าบนโทรศัพท์
ถ้ากลัวว่ามันจะเด้งขึ้นมาเยอะจนรำคาญ เราก็เลือกได้ว่าจะให้นาฬิกามันแจ้งเตือนจากแอปอะไรบ้าง
แต่ว่านาฬิกาจะหมดคุณค่าเมื่อเราหยิบไอโฟนมาเปิดใช้งาน
ระบบสั่น เงียบ จนบางทีไม่รู้สึก
จริงๆเราอยากเรียกว่า Taptic Engine ของแอปเปิ้ลเป็นตัวที่ทำมาดีที่สุดแล้ว คือตัวชิ้นส่วนการสั่น ถ้ามาแบบอุปกรณ์อื่น แทนที่ปิดเสียง เปิดสั่นจะเงียบ บางทีการที่มันสั่นบนโต๊ะมันดันดังกว่าเสียงเรียกเข้าซะอีก หรืออย่าง Pebble ที่สั่นจนคนข้างๆก็รู้
แต่ Taptic Engine ของแอปเปิ้ลมันไม่มีเสียง อารมณ์มันเหมือนกับมีคนมาเคาะอยู่ในเคสนาฬิกา
แต่ทว่ามันเบาไปหน่อย จนแทบไม่รู้สึกถ้ากำลังทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวอยู่ บางทีประสาทหลอนว่ามันสั่น มันควรจะมีออปชั่นเพิ่มความแรงให้อีกหนึ่งระดับนะ (หรืออาจเป็นข้อดี เพราะถ้านอนอยู่มันแตะมาก็จะไม่รู้สึกอะไร)
ก็ยังดีที่แอปเปิ้ลให้ออปชั่น Prominent Haptic มา คือมันจะสั่นรัวๆก่อนจะบอกสัญญาณการเคาะ (มันมีการเคาะหลายแบบ ซึ่งตอนนี้ยังแยกได้ไม่หมด)
ที่บ่นไปจะเป็นการแตะเพื่อบอกว่ามี notification เข้ามา แต่ว่าถ้าโทรศัพท์เข้าหละมันก็แตะมือรัวๆเลย ไม่น่าจะพลาดได้
(update: คนอื่นก็รู้สึกเหมือนๆกัน)
การควบคุมยากกว่ามาตรฐานของแอปเปิ้ล
เนื่องจากเนื้อที่ใช้สอยมันมีน้อย การควบคุมเลยต้องประหยัด แต่ Apple Watch ก็ยังมีปุ่มมาให้สองปุ่ม และก็เพิ่มการกดแบบพิเศษเข้ามา
ด้วยหน้าจอขนาดประมาณสแตมป์ การใช้นิ้วก็จะได้แค่การลาก และการแตะ แบบที่คุ้นเคยกัน (ถ้าลากจากขอบซ้ายจอไปด้านขวา ก็เหมือนกับกดปุ่ม back มุมบนซ้าย)
แต่มันก็เพิ่มรูปแบบการแตะแบบใหม่มา คือ Force Touch หรือที่แอปเปิ้ลเรียกในคู่มือคือ “Firmly Press” (กดหนักๆ) ซึ่งการกดหนักๆนี่จะโชว์ออปชั่นเพิ่มเติม คือเป็นเมนูที่ซ่อนไว้นั่นหละ (เช่นการปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกา หรือการลบเมล์) แต่ว่ามันต้องอาศัยการกดค่อนข้างหนักถึงจะติด แล้วก็จะมีปัญหาแนวเดียวกับ gesture ของ Windows 8 คือ “ไม่รู้ว่ามี” แถม Force Touch นี่เราไม่มีทางรู้เลยว่าแอปนี้จะกดแล้วมีอะไรโผล่มาหรือเปล่าจนกว่าจะลองกด
ส่วนการใช้งานนี่ให้คะแนนเรื่อง UI คือถ้ากดแล้วมันจับแรงได้ หน้าจอก็จะมี effect ยุบลงไป พอถึงจุดมันก็จะสั่นเบาๆ สำหรับหน้าที่ใช้ Force Touch ได้ ส่วนหน้าที่ใช้ไม่ได้ก็จะเด้งกลับ (คือมี feedback ในทุกขั้น)
ส่วนปุ่มจริงมีอยู่สองปุ่ม คือ เม็ดมะยม กับปุ่มด้านข้าง
เม็ดมะยมของ Apple Watch (Digital Crown) มีการกระทำได้สองอย่าง คือการหมุนและกด เรื่องของการหมุนไม่เป็นปัญหามาก เพราะจะเป็นการเลื่อนข้อมูลตามแกน x,y,z,t แล้วแต่สถานการณ์ ซึ่งส่วนของการใช้เม็ดมะยมมาหมุนๆนี่ก็ตอบโจทย์นะ เพราะมันอ่านข้อมูลได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการใช้นิ้วลากจอ แล้วก็ค่อนข้างขยับนิ้วเป็นธรรมชาติด้วย (เห็นปุ่มของจริงแล้วจะชอบในความละเอียดของร่องที่มันสลักไว้ มันเป๊ะมาก)
ส่วนการกดเม็ดมะยมนี่มันเปลี่ยนไปได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่หน้าอะไรตอนนั้น
- หน้านาฬิกา กดหนึ่งครั้งเข้าหน้าแอป ถ้ากดอีกรอบก็กลับมาหน้านาฬิกา [mode]
- อยู่หน้าแอป กดเปิดแอป (หรือจะหมุนเพื่อซูมเปิดเข้าไปก็ได้) พอกดอีกทีก็ออกมาหน้าแอป [home]
- คราวนี้ถ้าอยากกลับไปที่นาฬิกา ต้องกดถึงสองรอบ รอบแรกเพื่อเลื่อนให้แอปนาฬิกามาอยู่ตรงกลาง กดอีกทีเพื่อเปิดหน้านาฬิกา [move + mode]
- ถ้าอยู่หน้านาฬิกา แล้วกด complication (คือข้อมูลที่โชว์ เช่นตารางนัดหมาย สภาพอากาศ) หรือ Glance มันก็จะเด้งไปเปิดแอป ใช้ไปสักพัก ในหัวเริ่มลืมแล้วว่าเราเปิดแอปยังไง พอกดเม็ดมะยมอีกทีมันไม่ได้ไปที่หน้ารวมแอป แต่เด้งกลับมาหน้านาฬิกา [back]
- ถ้ามีแจ้งเตือนเข้ามา ขยับข้อมือมาดูแล้วแต่ไม่อยากทำอะไรกับมัน (เก็บไว้ที่ notification bar) ก็กดไป [back/cancel]
- แต่งหนัาปัดนาฬิกา แล้วจะออกจากโหมดนี้ก็ต้องกด [back/confirm] (force touch ก็ได้เหมือนกัน)
อ่านไปแล้วถ้ารู้สึกว่ามันยากก็อย่าเพิ่งไปกลัว ค่อยๆใช้ไปก็จะเรียนรู้ได้
ถ้าให้เทียบมันยิ่งกว่าปุ่ม back ของแอนดรอยด์สมัยก่อนอีกนะ แต่โชคดีที่การใช้งานนาฬิกามันสั้นๆไม่นานเท่ากับการใช้โทรศัพท์มือถือ (ถ้าพยายามเข้าใจว่ามันมีสองโหมดคือ Watch Mode กับ App Mode ได้ก็จะดี)
ส่วนปุ่มด้านข้างเป็น Shortcut ไว้เรียกหน้ารวมเพื่อน (อาจเรียกว่า quick contact ก็คงได้) ไว้ทำการโทร ส่งข้อความ หรือส่งสัญญาณพิเศษของ”ชมรมคนใช้นาฬิกายี่ห้อแอปเปิ้ล” แต่หลังจากเล่นๆวันสองวันแรก ก็ลืมไปแล้วว่ามันมี (เพราะว่าปกติคุยในไลน์ ปุ่มนี้ไม่ตอบโจทย์อะไร)
โดยรวมคือ พอเนื้อที่หน้าจอมันน้อย มันก็จะมีการใช้งานแบบที่คนไม่รู้มาก่อนจะไม่รู้เลย
ฟังก์ชันเกี่ยวกับสุขภาพออกแบบมาได้ดี
ฟังก์ชันมันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับคนชอบออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจ แต่คนที่ใส่ Apple Watch ก็น่าจะหันมาสนใจการออกกำลังกายมากขึ้น
Activity App เป็นตัวคอยบอกให้เราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดทั้งวัน มีเป้าหมายว่าวันนี้จะต้องทำให้ได้กี่แคลอรี่ ออกกำลังกาย (แค่เดินเร็วๆ) กี่นาที ครบวงก็มีการชมเชยด้วย ฟังก์ชันมันง่ายๆ แต่ก็ดึงดูดใจอยากทำให้สำเร็จดี (แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จ – แต่ก็รู้ตัวหละว่าทำไมช่วงนี้ถึงบวม)
ส่วนการออกกำลังกายแนวใช้หัวใจ ก็จะมีแอป Workout ไว้เก็บข้อมูล อย่างพวกการวิ่ง เก็บระยะทาง ความเร็ว แคลอรี่ที่ใช้ แถมนาฬิกามันวัดการเต้นของหัวใจได้ด้วย ได้รู้ข้อมูลสุขภาพของตัวเองที่ไม่เคยรู้มาก่อน (เช่นตอนวิ่งหัวใจเต้นสูงสุดที่ 180 bpm ซึ่งเกือบแตะค่าสูงสุดของตัวเองแล้ว) ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายมันก็จะเก็บข้อมูลทุกๆสิบนาที (แต่ Watch OS 1.0.1 มีบั๊กอยู่ มันจะทิ้งช่วงเก็บข้อมูลแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้)
แต่ว่าการออกไปวิ่งนั้นก็ควรจะหยิบไอโฟนไปด้วย เพราะว่านาฬิกาไม่มีจีพีเอสการคิดระยะทางมันต้องอาศัยไอโฟน แต่เค้าบอกว่าให้มันเรียนรู้ไปสักพักแล้วมันจะคำนวณระยะทางจากการก้าวของเราได้เลยแบบไม่ต้องใช้ไอโฟน (ซึ่งก็จะเหมาะกับการวิ่งในเครื่องวิ่งด้วย) ตรงนี้อยู่ในช่วงทดลองอยู่ ถ้ามันใช้ได้แบบแม่นๆก็น่าจะดีเลย
แต่ว่าแอปมันไม่แปลผลการเต้นของหัวใจ อย่างวิ่งๆไปถ้าการเต้นของหัวใจเกินจุดหนึ่ง มันก็น่าจะบอกให้ผ่อนแรงหน่อย (ขนาดเครื่องเล่นในฟิตเนสยังบอกเลย) ข้อมูลบางอย่างตอนนี้มันเลยเก็บไว้ให้คนแปลผลกันเอง
เรื่องฟังก์ชันนี้ควรจะจับตามองไปว่าจะพัฒนาอะไรไปอีกบ้าง แต่ตอนนี้เราว่ามันดีสำหรับคนทั่วไปเลยหละ
แบตเตอรี่อยู่ได้ทั้งวัน (จริงๆ)
วันสองวันแรกเราจะต้องตั้ง complication อันนึงเป็นเปอร์เซ็นต์แบตว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ แบบว่ากลัวแบตหมดระหว่างวัน แต่มาวันพฤหัสก็เปลี่ยนให้มันโชว์ข้อมูลอย่างอื่นหละ เท่าที่ลองใช้มาแบตอยู่ได้ 18 ชั่วโมงและอาจมากกว่านั้น
หยิบออกจากที่ชาร์ทตอนเจ็ดโมง กลับมาอีกทีห้าทุ่มก็ยังเหลือ 20% ถ้าวันไหนไม่ได้ใช้ตัววัดหัวใจมาก ก็อยู่ได้ 40% เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่ว่าเราจะใช้งานมันเยอะหรือเปล่าด้วย
ส่วนวิธีการชาร์ทก็ง่าย แค่แปะกับที่ชาร์ทที่ให้มา (รุ่นสปอร์ตมันเป็นพลาสติกสีขาวทั้งสองด้าน จะงงๆว่าด้านไหนคือด้านชาร์ท ส่วนสายชาร์ทที่ขายแยกจะมีด้านนึงเป็นอลูมิเนี่ยม) นั่นหมายความว่าคืนนึงจะต้องเพิ่มอุปกรณ์ให้ชาร์ทอีกหนึ่งตัว พร้อมๆกับไอโฟน ถ้าลืมก็จะได้กำไลแพงๆมาใส่หนึ่งอัน (เก็บนาฬิกาเรือนอื่นไว้ให้ดี จะได้ใช้โอกาสนี้หละ)
Siri พึ่งพาได้มาก(ขึ้น)
วันแรกที่ได้นาฬิกามา มันยังไม่รองรับสิริภาษาไทยเลย แต่มีอัพเดทกลางสัปดาห์ที่ทำให้เราสั่งงานเป็นภาษาไทยได้ ชีวิตก็ง่ายขึ้น
ถ้าเคยได้เล่นสิริบนไอโฟนแล้ว เราคิดว่ามันฟังภาษาไทยค่อนข้างถูกต้องเลยหละ ซึ่งสิริบนนาฬิกานี่จะช่วยเปิดฟังก์ชันที่เราทำจากทางอื่นในนาฬิกาไม่ได้ เช่นสร้างนัดหมาย บันทึกการแจ้งเตือน (แต่ทำไมไม่มีแอป Reminder)
แต่ว่าสิริบนนาฬิกามันเป็นใบ้นะ จะหวังพึ่งแบบพูดไปแล้วรอฟังคำตอบยังไม่ได้ แล้วก็ยังรู้สึกว่าการพูดกับนาฬิกามันยังแปลกๆอยู่
มันเหมาะกับการใส่แล้วลืมไปเลย
ต้องทำใจว่านาฬิกาแสนแพงที่ซื้อมามันเหมาะกับการใส่แล้วไม่ต้องใช้งานมันมาก รอว่ามันบอกให้เราดูเมื่อไหร่ หรือเมื่ออยากดูเวลา ถ้าอยากทำมากกว่านั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้เถอะ
แต่ว่าก็จะมีบางกรณีที่ใช้นาฬิกามันโอเคกว่า
- ดูตารางนัดหมาย ต่อไปต้องทำอะไรบ้าง
- ดูรายการของที่ต้องซื้อ
- เปลี่ยนเพลงที่ฟังอยู่
- ตอนวิ่ง ดูระยะทาง ดูเวลาที่ใช้
- แคปหน้าจอข้อมูลสำคัญๆ แล้วใช้นาฬิกาเปิดดูรูป
- เช็คอินสถานที่ (ถ้ายังมีคนทำอยู่)
- ดู 2FA code (อารมณ์ประมาณล็อคอินเข้าเว็บธนาคาร แล้วมันส่งรหัสเข้าเว็บอีกชั้นมาให้)
- จดบันทึกรายรับรายจ่าย (กำลังหาแอปดีๆอยู่) – อันนี้นี่อยากบ่นมากๆว่าตอนนี้เลิกจดเพราะแอปที่เคยใช้อยู่ปุ่มเพิ่มรายจ่ายมันอยู่ซะบนขวาจอไอโฟนเลย กดไม่ถึง (ทำไมลืม use case ว่าซื้อของมือมันไม่ว่างทั้งสองมือนะ)
มันจะเป็นอารมณ์ทำอะไรนิดๆหน่อยๆ ไม่ยุ่งยาก โทรศัพท์ทำได้ แต่นาฬิกามันง่ายกว่า ตรงประเด็นกว่า
แอปยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ (ในตอนนี้)
ด้วยความที่ว่าคนพัฒนาแอปบนนาฬิกาช่วงแรกไม่มีนาฬิกาให้ลองเล่น แอปที่ออกมาตอนนี้มันเลยดูงงๆ ใช้แล้วไม่ตรงตามความต้องการ
อย่างทวิตเตอร์ที่มีไทม์ไลน์ มีเทรนด์ แต่ไม่มีเมนูให้ดูว่าใครคุยกับเราอยู่ หรืออินสตาแกรมที่มีฟีดรูปมาให้ดูบนจอเล็กๆ ตอบได้แต่ emoji หรือแม้กระทั่งไลน์ที่ตอบเป็นสติกเกอร์ คือมันก็มีตัวแปลงคำพูดเป็นตัวอักษรมาให้ แต่ทำไมไม่ใช้กัน
ส่วนแอปที่ควรทำให้ใช้นาฬิกาได้ก็ยังไม่ทำกัน อย่างเฟซบุค บอกมาว่ามีคนแทกรูปเรา แต่ไม่เห็นว่าเป็นรูปอะไร (เจ้านี้อาจอยากให้คนเปิดแอปมากกว่า แต่มันไม่สะดวกนะ)
ส่วนแอปที่ดูเหมาะสมหน่อยก็มีอย่าง Foursquare หรือ Swarm แต่ว่าพอมันหาสัญญาณจีพีเอสได้ไม่แม่นมันก็จะทำอะไรไม่ได้เลย
เราว่านักพัฒนาเค้าก็รู้ตัวหละว่ามันไม่ตอบโจทย์ยังไง รอไปอีกสักพักเราว่ามันจะได้อะไรเจ๋งๆออกมาแน่ๆ
แฟชั่นของ Apple Watch จะได้แค่วัสดุเรือนนาฬิกา และสาย
แต่จะไม่มีใครเห็นหน้าปัด ยกเว้นคนใช้
สิ่งหนึ่งที่เราชอบแอบดูคือหน้าปัดนาฬิกาของคนอื่น ดูว่ายี่ห้ออะไร นาฬิกาหน้าปัดปกติ มีลายอะไรหรือเปล่า หน้าตาเรียบๆ หรือแบบรกๆเห็นเครื่องใน แต่ว่าของ Apple Watch จะเห็นเป็นจอดำๆ เพราะว่าจะการแจ้งเตือน จะคนโทรเข้า หรือมีคนแชทมา ยังไงจอก็จะไม่เปิด จนกว่าคนใช้จะยกข้อมือมาดู
สิ่งที่คน 95% เห็นคือกำไลควอนตั้ม
แต่แอปเปิ้ลก็คงไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่ามันเป็นก้อนโลหะสีดำๆอยู่ที่ข้อมือเท่าไหร่หรอก เค้าเลยทำสายออกมาได้ดูดีน่าใส่ด้วย (ยังไม่ต้องพูดถึงราคา) และก็มีหลายแบบให้เลือก การเปลี่ยนสายที่ง่ายมาก ไม่ต้องให้ช่างเปลี่ยน ถ้าโทรศัพท์มีตลาดของเคส นาฬิกานี้ก็มีตลาดของสายนาฬิกา (แต่ว่าจะหาสายเจ้าอื่นที่คุณภาพดีเทียบเท่าก็อีกเรื่องนึงนะ)
ส่วนเรื่องวัสดุ ก็แยกชนชั้นกันชัดเจน…
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะเห็นหน้าปัด แต่เราว่ามันยังมีให้เลือกน้อยไป (ตอนนี้ชอบ Utility, Modular, แล้วก็ X-Large เลือกใช้ตามสถานการณ์)
มีจุดน่าสังเกตุอีกอย่างคือว่าไม่ค่อยมีคนทักว่าใส่อะไรมา ซึ่งเราว่าอันนี้มันก็ดีหละ ไม่โดดเด่นเกินไป
สรุปหลังจากหนึ่งสัปดาห์…
คือข้าพเจ้าเคยใช้ Pebble แล้ว และตื่นตาตื่นใจกับเรื่องของการแจ้งเตือนมาแล้ว การมาใช้ Apple Watch เนี่ยก็จะรู้สึกเฉยๆอยู่นะ แต่ว่ามันดีกว่า สวยกว่า ดูน่าใส่กว่า ยิ่งถ้าเปลี่ยนเป็นวัสดุอื่น หรือสายอื่น มันยิ่งใกล้เคียงกับนาฬิกาทั่วไปมากกว่าและจะดูโอเคกับการใส่มันมากกว่า
แต่ถ้าให้เปลี่ยนไปใส่นาฬิกาแบบปกติ (ซึ่งแต่ละเรือนมันก็มีคาแรกเตอร์ของมัน) ตอนนี้ก็นอกจากจะติดเรื่องเรื่องการแจ้งเตือนแล้ว ก็ยังมีเรื่องเก็บข้อมูลร่างกายมาอีก แต่ว่าถ้ามันเก็บแต่ไม่ได้ไปใช้อะไรต่อ โอกาสเปลี่ยนกลับมาใช้นาฬิกาปกติก็ยังมีอยู่หละ
ตอนนี้เลยรู้สึกว่า อืม… มีใส่ก็ดีนะ ไม่ถึงขั้นเชียร์ให้ซื้อ (แต่ถ้าชอบและยอมรับกับของ gen 1 ได้ก็ซื้อไปเถอะ)
กลางเดือนหน้าจะไปเที่ยวแบบลุยๆ มีไปเดินเขาสี่วันด้วย เจ้านี่ก็คงต้องนอนอยู่ในเคสพลาสติกไปก่อนช่วงนั้น แล้วอีกสักเดือนสองเดือนค่อยมารีวิวกันใหม่
รภรัตน์
จบการรายงาน
ปล. ส่วนเรื่องราคา ลองมองว่ามันเป็นนาฬิกาดิจิตอล แบรนด์เนมชื่อดังดู
ปล 2. เก็บตก
- แอป Watch บนไอโฟน เราจะยุ่งๆแค่ตอนแรก ปรับค่านู่นนี่ให้เหมาะ หลังจากนั้นก็จะลืมมันไปหละ ยกเว้นตอนนาฬิกามีอัพเดทใหม่
- ตอนเชื่อมกับไอโฟนครั้งแรก มีอาการงอแง ต้องปิดเปิดไอโฟนใหม่ถึงจะต่อได้
- การออกกำลังกาย ควรจะรัดสายให้แน่น เพราะบางทีข้อมือมันเลื่อนแล้ววัดการเต้นหัวใจไม่ได้
- มีคนทักคนแรก คือพนักงานร้านขายคอม แล้วเค้าก็เพิ่งสังเกตุตอนเราเอานิ้วไปแตะจอเพื่อดูว่าอะไรมันเตือนมา (พนักงานใส่ Gear S)
- Herman Miller Aeron Chair - 11 Apr 2020
- อัพเดทของเล่น ณ ตอนนี้ - 19 May 2019
- #หมดpassion - 10 Nov 2018