Pebble
Introduction
เคยมีช่วงนึงที่ฟังเพลงจากมือถือ แล้วอยากเปลี่ยนเพลง แต่หูฟังที่ชอบมันไม่มีรีโมท แล้วตอนนั้นตัวส่งเพลงผ่านบลูทูธมันก็เพิ่งดัง แต่ราคาแพง ก็เลยคิดเหมือนเป็นรีโมทเฉยๆ แต่ห้อยคออะไรประมาณนี้ แต่ก็คิดไว้แค่นั้นหละ
แล้วก็มีช่วงก่อนหน้านั้น เห็นนาฬิกายี่ห้อนึงมันเจ๋งมาก คือ Tokyoflash มันออกแบบได้แนวดี เอาจอ LCD มาแสดงเวลาให้อ่านยากๆ ถึงขนาดมีรุ่นที่เราชอบ คือรุ่น Negative แบบว่าอยากซื้อมากมาย แต่ว่าตอนนั้นเพิ่งทำงานใหม่ๆ นาฬิกาเด็กแนว(แนววิศวะคอมเนิร์ดๆ)เรือนละหกพันมันแพงมากในตอนนั้น
จากนั้นก็อ่านข่าวเจอโครงการ kickstarter ซึ่งก็นะ…เค้าคิดล้ำไปกว่าเราเยอะเลย คือแบบว่าเป็นนาฬิกาที่ต่อกับโทรศัพท์ แล้วเป็นรีโมทเพลงก็ได้ หรือจะดูว่าใครโทรมา หรือดูที่แจ้งเตือนนู่นนี่ได้ ดูไปดูมาก็อยากได้นะ
คิดไปคิดมาคิดแล้วคิดอีกว่าอยากได้ สรุปไม่ได้กดซื้อไป แต่ก็ติดตามข่าวมาเรื่อยๆ จนรุ่นอัพเกรดบอดี้ออกมาเป็นโลหะ (Pebble Steel) ก็กดซื้อไปนะ แต่รอออเดอร์นานเลยแคนเซิลไป (ประกอบกับตอนนั้นแอนดรอยด์ Wear เพิ่งประกาศด้วย รอดูท่าทีก่อนก็ไม่เสียหายอะไร)
มารอบสุดท้าย Wear ของจริงออกมารีวิว นาฬิกายี่ห้อผลไม้ก็เปิดตัว แล้วเจ้านี้ก็ดันลดราคาเหลือ $99 ก็เลยซื้อมาเล่นซะหน่อยหละกัน
แต่ถ้าซื้อมาเล่นอย่างเดียวมันก็แพง ก็เลยต้องตั้งเป้าไว้ว่าจะใช้เป็นนาฬิกาจริงๆจังๆด้วย เลยหาเหตุผลสนับสนุนการใช้จ่ายมาปลอบใจกระเป๋าตังค์หน่อย
- สีดำมันดูกึ่งๆจะสุภาพ แต่รูปทรงยังไงก็ไม่ดูดี งั้นซื้อสีขาวหละกัน ใส่ให้มันดูเด่นนิดๆ แฟชั่นหน่อยๆ
- เอามาเป็นนาฬิกาดิจิตอล คือเลือก watchface ให้มันดูเหมือนนาฬิกากระจ๊อกได้หนะ
- มีตัวนับก้าว ส่งเสริมสุขภาพที่ดี (จะกระตุ้นให้ออกกำลังมากขึ้นหรือเปล่าก็อีกเรื่อง – แต่ใช้ไอโฟนมันก็ทำได้เหมือนกันหนิ)
ข้อสามดูมันหลอกลวงตัวเองไปหน่อย งั้นใช้เหตุผลแค่สองข้อแรกพอ
First Impression
จากการส่งไปรษณีย์แบบฟรี สั่งวันพฤหัส กว่าจะบอกว่าส่งก็ศุกร์เย็น แต่มันเข้าระบบก็พุธถัดไป ถึงบ้านก็จันทร์ถัดไปอีก รวมเวลาส่งประมาณสิบเอ็ดวัน แต่ได้มาในราคา 3200 บาทก็โอเคนะ
ความประทับใจแรกคือแกะซองมาเจอกล่องแล้วเขย่าๆมันมีเสียง คือว่านาฬิกามันไม่มีส่วนเคลื่อนที่ได้หนิแล้วเสียงมันคืออะไร ปรากฏว่าแกะมาแล้วสายมันหลุดไปข้างนึง ที่มันเขย่าแล้วมีเสียงก็คือตัวแกนที่ไว้ติดสายกับตัวเรือนมันหลุดออกมา -_- (คาดว่าตอนประกอบคงใส่ไม่ลงล็อค หรือไม่ก็ไปรษณีย์ไทย เพราะมุมกล่องก็บุบนิดๆ)
อันนี้แก้ได้ก็แค่ติดกลับไปตามปกติ ไม่คอมเพลนอะไร
อ่อ ในกล่องมีคู่มือแนะนำการใช้งานหนึ่งแผ่น แล้วก็สายชาร์ท USB อีกหนึ่ง ตัวหัวมันจะเป็นแม่เหล็กไว้ดูดกับตัวเครื่องตอนจะแปะชาร์ตไฟ
Hardware
ถ้าจะให้มองว่ามันเป็นนาฬิกา ก็ต้องบอกว่ามันดูเป็นนาฬิกาที่ราคาถูกๆเลยนะ ทั้งวัสดุ รูปร่าง น้ำหนัก จับครั้งแรกนี่รู้สึกว่ามันบอบบางมากๆ นาฬิกา Swatch ตัวที่ใช้อยู่ราคาพอๆกันแต่ความรู้สึกมันดีกว่าเยอะเลย แต่ยังดีนะที่สายที่แถมมายังใส่สบาย ไม่เหนียวแขน (เป็นสายยาง)
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เลือกสีขาวมา เพราะว่ามันไม่ทางการ (สีดำกับเทามันออกแนวกึ่งๆไม่รู้จะทางไหนดี) สีอื่นมันก็ไม่ neutral (มีโอกาสใส่ไม่นานแล้วเบื่อได้) แต่เรื่องนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลหละ อ่อ อย่างที่เห็นในรูป สีมันจะอยู่แค่ด้านหน้ากับสาย ด้านข้างเป็นสีดำทุกรุ่น
มาดูที่จุดเด่นของนาฬิกาเรือนนี้ มันก็คือจอ LCD แบบประหยัดพลังงาน (ชื่อทางการค้าคือ e-paper แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกคือ Memory LCD) ความละเอียด 144×168 pixel มี refresh rate ที่ 30 fps จออันนี้เป็นคนละเทคโนโลยีกับจอ Kindle แต่สามารถสู้แดดได้ และแสดงผลได้ตลอดเวลาเหมือนกัน ถึงจะ refresh จอได้เร็วขนาดนี้ ถ้าจอมันมี animation มากๆก็ทำให้แบตลดฮวบๆได้ (จอที่ไม่อัพเดทบ่อยจะใช้พลังงานน้อยกว่า)
เป็นที่น่าสังเกตุว่าตำแหน่งของจอมันไม่ได้อยู่ตรงกลางเรือนหละ ไม่ค่อยรู้สึกจนกว่าจะใส่กลับด้าน และจอมองบางมุมมันจะเห็นว่าจอมันมีลายเหลื่อมๆ เหมือนตอนประกอบแล้วแรงกดกาวมันไม่เท่ากัน (ใช้งานปกติไม่เห็น)
ข้อสำคัญคือว่าด้านหน้าจอมันเป็นแค่พลาสติกใสๆ ถ้าไม่ระวังจะโดนขูดได้ง่ายมาก หาฟิลม์มาติดซะ
ตอนใส่จริง ก็ไม่ได้รู้สึกเกะกะนะ ข้อติที่ว่าน้ำหนักเบากลายเป็นข้อดีตอนใส่ คือไม่รู้สึกหนัก ยิ่งถ้าตอนออกกำลังกายแล้วเราแทบจะเปลื้องทุกอย่างทิ้ง นาฬิกาน้ำหนักเบานี่ก็เอาติดตัวไปได้ (บวกกับที่มันนับก้าวได้ ก็ลงตัวพอดี)
Setup
ตอนแรกมันบอกให้กดเปิดเครื่องก่อน แต่กดยังไงก็ไม่ติด ก็เลยเอาไปชาร์ทมันถึงเปิดได้ ทีนี้ก็โหลดแอป Pebble มา (Android / iOS) จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ (ไม่ได้แคปจอมา แต่ทำตามขั้นตอนไม่ยาก และค่อนข้างสะดวกเลย) เจ้านาฬิกานี้ก็พร้อมใช้งานแล้ว
เวลาชาร์ทจนเต็มก็ประมาณสองชั่วโมง ไม่ช้ามาก
ภาษาไทย
ลองเล่นไปนิดหน่อยก็ค้นพบว่ามันโชว์ภาษาไทยไม่ได้ จะได้เก็บเข้ากรุก็คราวนี้หละ
แต่ช้าก่อน!!! พอดีเคยคุยกับพี่ที่ใช้มันมาก่อน เค้าบอกว่าเราลงฟอนท์ไทยได้ด้วยเหมือนกัน วิธีทำก็คือไปปรุง Firmware พิเศษมาแบบมีฟอนท์ไทย อย่าคิดว่ามันยาก ต้องให้คนอื่นทำให้ เพราะมีคนอำนวยความสะดวกมาให้แล้ว
วิธีการก็ง่ายมาก แค่เข้า http://pebblebits.com/firmware/ แล้วก็กดเพิ่ม font ไทยไป ส่วนเสริมอย่างอื่นไม่สนใจ (เลือกรุ่นให้ถูกกับเครื่องที่ใช้ด้วย) พอทำเสร็จก็จะได้เป็น download link มา ถ้าเปิดจากมือถือมันก็จะถามเลยว่าจะให้โหลดลง Pebble เลยไหม กดใช่แล้วก็รอไปสักพักก็เสร็จ ง่ายกว่าไอโฟนและแอนดรอยด์ตอนแรกๆเยอะเลย
Features
ขอแบ่งฟีเจอร์ออกเป็นสองส่วนแล้วกัน
Pebble As A Watch
อุปกรณ์ที่เรียกว่านาฬิกา ถ้าสอบตกเรื่องการบอกเวลามันก็ไม่น่าที่จะใช่นะ แต่ Pebble สอบผ่าน
มันมีจุดเด่นคือจอนี่หละ เพราะว่าหน้าปัดเป็นจอ LCD ดังนั้นจะให้มันโชว์อะไรก็แล้วแต่คนเนรมิตแล้ว (มีข้อจำกัดคือได้แค่สีขาวและสีดำ และหน้าจอเหลี่ยม) เพราะว่าจอมันเหลี่ยม เราก็เลยพยายามเลือกหน้าปัดอันที่มันเลียนแบบนาฬิกาดิจิตอลมา ไม่เอาอันที่พยายามเลียนแบบนาฬิกาแบบมีเข็ม หรือหน้าปัดกลม (อยากให้มัน true-to-form มากกว่า) และอันที่มันรกๆ โชว์ข้อมูลเยอะๆก็ไม่ใช้โชว์ (เวลาสำคัญสุด ข้อมูลอย่างอื่นกดเปลี่ยนจอได้)
นอกจากนี้ก็ยังมีอันที่เลียนแบบ Tokyoflash หรือว่าจะจำลองเป็น binary watch ก็แล้วแต่ความชอบเลย หรือบางอันมีอนิเมชันตอนเปลี่ยนเวลาด้วย (อันนี้น่ารัก)
ตอนนี้ที่เจอหน้าปัดนาฬิกาที่ดูมีสไตล์มากที่สุดก็คงเป็น TTMM (iOS/Android) หละ แต่ยังไม่ได้ซื้อ รอเปลี่ยนโทรศัพท์ก่อน
ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือเพราะมันเป็นจอแบบนี้ ทำให้มันแสดงผลได้ตลอดเวลา และก็สู้แสงได้สุดๆ เรียกว่าถ้าไม่มีแสงไฟก็มองไม่เห็นเลย คุณสมบัติเหมือนนาฬิกาดิจิตอล ดังนั้นเค้าก็เลยใส่ไฟ LED มาให้ด้วย (จะสว่างเมื่อกดปุ่ม หรือยกแขนขึ้นมาดูเวลา แต่ต้องใช้แรงเหวี่ยงเล็กน้อย)
ในกรณีมือถือแบตหมด หรืออยู่นอกระยะบลูทูธ มันก็ยังบอกเวลาได้ ไม่ใช่แยกกันแล้วหมดความหมาย
ส่วนฟังก์ชันอื่นๆก็มีนาฬิกาปลุก (ตั้งตามวันไม่ได้) Pebble มันไม่มีลำโพง แต่มันมีไวเบรเตอร์ ถึงเวลาปลุกมันก็สั่น ซึ่งตัวสั่นได้นี่จะใช้มากในส่วนต่อกับมือถือในหัวข้อถัดไป
จับเวลาไม่ได้ แต่เดี๋ยวหาแอปมาเพิ่มได้หละ
Pebble As An Phone Extension
อันนี้คือจุดขายจริงๆของ Pebble หละ ด้วยการที่มันใช้ Bluetooth Low Energy ทำให้เจ้าตัวนาฬิกามันต่อกับโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา แบบไม่เปลืองพลังงานด้วย จากนาฬิกาดิจิตอลปรับหน้าปัดเองได้ กลายเป็นนาฬิกาที่ช่วยลดการหยิบมือถือขึ้นมาดูได้เลย
สิ่งที่มันทำได้คร่าวๆก็มี
- แจ้งเตือนจากโทรศัพท์
- คุมเพลง – อันนี้ตรงตัว
- รันแอป – เป็นกึ่งๆเว็บแอป หรือมีแอปในมือถือที่ช่วยส่งผ่านข้อมูลมา
Notification (Android)
ส่วนแรกคือเรื่องของการแจ้งเตือน ไม่ว่าเราจะอยู่หน้าไหนถ้าเกิดมีการแจ้งเตือนมาจากโทรศัพท์ Pebble ก็จะเด้งหน้าขึ้นมาให้เราดู ถ้าไม่ได้กดอะไรมันก็หายไปในเวลาสองนาที (แต่มีเมนูให้ดูย้อนหลังได้)
ตัว Pebble บนแอนดรอยด์จะแจ้งแค่บางแอปเท่านั้น อย่าง Gmail, Facebook, SMS, หรือสายเรียกเข้า แต่ถ้าเป็นแอปอื่นจะโชว์ไม่ได้ ถ้าใช้แค่แอปของ Pebble มันก็คงไม่เหมาะกับคนไทย เพราะว่าคนไทยเล่นไลน์กัน ถ้าโชว์ไม่ได้นี่ประโยชน์ก็ลดลงเยอะ
แต่อย่าเพิ่งตระหนกไป เพราะว่า Pebble มันรองรับการแจ้งเตือนจากแอปอื่นได้ ดังนั้นก็แค่หาแอปที่มันส่งการแจ้งเตือนจาก Notification Bar มาให้ Pebble ได้ก็จบแล้ว ค้นๆดูก็เจอตัวนึงคือ Pebblify ซึ่งก็เอามาใช้ได้โอเคเลย
แต่ว่าแอปบางตัวก็รองรับตรงๆ อย่าง Talon (ถ้าใช้ Pebblify แล้วจะเด้งตลอดเวลา เพราะมันอัพเดทใน Notification Bar ตลอดเวลา) แบบนี้ก็คุ้ยใน setting ซะหน่อย ก็เปิดใช้ได้
แต่ว่าฟังก์ชันก็จะไม่เริดหรูเท่า Android Wear นะ คือดู Notification ได้อย่างเดียว แต่ทำอะไรกับมันไม่ได้
Music Remote
ฟีเจอร์นี้ตรงตัว คือใช้เป็นรีโมตคุมเพลงที่เล่นจากเครื่อง ดีกว่ารีโมทอื่นคือโชว์ว่าเล่นเพลงอะไรอยู่ด้วย (แต่ UI ดูเชยนิดๆ)
กด เล่น/หยุด ย้อนเพลง เพลงถัดไปได้ ถ้ากดปุ่มกลางค้าง ก็จะปรับเพิ่มลดเสียงได้ด้วย จริงๆปุ่ม เล่นหยุดนี่น่าจะบอกสถานะด้วยนะ
ถึงแม้ว่ามันต้องเข้าเมนูถึงจะคุมได้ แต่ด้วย UI ที่มันเป็นปุ่ม เราไม่ต้องดูจอก็สามารถกดเข้าไปคุมเพลงได้ อันนี้คือข้อดีที่ Touchscreen ทำไม่ได้
ปล. อาจจะเป็นที่แอนดรอยด์ คือมีบางช่วงกดแล้วมันไม่ทำงานทันที ต้องรออีกหลายวิ
Pebble Apps & Watchface
ส่วนที่โหลดเพิ่มเติมได้ของ Pebble คือ App กะ Watchface มีข้อแตกต่างกันหน่อยคือ
- Watchface จะอยู่หน้านาฬิกา กดปุ่มอื่นๆไม่ได้ (action ที่ใช้ทั่วไปคือเขย่าๆ) จะโชว์เป็นเวลา หรืออย่างอื่นก็แล้วแต่นักพัฒนา
- App จะอยู่หน้า menu อันนี้จะมีเมนูย่อยอะไรก็ได้
ส่วนการทำงานด้านหลังก็มีจะ API ของมัน ตามที่เข้าใจก็จะมีสามแบบนะ
- Standalone จริงๆ คือแอปที่รันได้ด้วยตัวมันเอง อาจจะมี setting ที่ตัวแอป Pebble ในมือถือหน่อย
- Javascripts อาศัย Pebble App บนมือถือ ไว้รันคำสั่งต่างๆ พวกนี้จะดึงข้อมูลผ่านเน็ตมาให้ ประมาณพวกแอปโชว์สภาพอากาศ แอปทวิตเตอร์ ถ้าหลุดกับมือถือก็จะง่อยๆไปเลย
- Companion App อันนี้ก็ต้องลงแอปบนมือถือเพื่อให้ App บนนาฬิกาเราทำงานได้ เช่นแอปปฏิทิน ต้องมีแอปบนมือถือเพื่อไปโหลดตารางนัดหมายของเราได้ หรืออย่าง Pebblify ที่แอปบนมือถือจะส่งผ่านการแจ้งเตือนของทุกแอปมาให้ หรือแอปกล้องที่ให้ Pebble เป็นรีโมท
วิธีโหลดก็คือโหลดผ่าน Pebble App บนมือถือ หน้าตาก็เป็น App Store ทั่วๆไป แต่ว่าข้างหลังน่าจะเป็น web app เพราะว่ามันอืดๆ ไม่ตอบสนองมือเท่าไหร่ พอเรากดเข้าไปที่ App หรือ Watchface ก็กดปุ่ม Add เท่านี้แอปก็จะโหลดเข้านาฬิกาแล้ว
ข้อจำกัดของ Pebble คือโหลดแอป+หน้าปัดนาฬิกาได้แค่ 8 อย่าง ตัวแอปบนมือถือเลยอำนวยความสะดวกให้หน่อยคือมีหน้ารวมแอปที่เราโหลดไว้ ช่วยในการเปลี่ยนแอปหรือหน้าปัดแบบเร็วๆได้
นอกจากนี้ Pebble ก็มี Accelerometer ในตัว ทำให้สามารถเขียนแอปไว้แปลงข้อมูลมาเป็นการนับก้าวได้ อย่าง Misfit, Jawbone หรือจะจับการนอนก็ได้อีกเหมือนกัน และตั้งแต่ Firmware 2.6 แอปก็สามารถดึงข้อมูลย้อนหลังมาได้ (เมื่อก่อนต้องเปิดแอปค้างไว้)

หน้า setting ของ Activity (นับก้าว) มีข้อจำกัดคือใช้แอปเก็บข้อมูลได้ทีละแอปเท่านั้น ใช้พร้อมกันไม่ได้
Usage
แนะนำฟีเจอร์ไปหมดแล้ว ถึงตอนใช้จริงหละ
เท่าที่เล่นมาสองสัปดาห์ ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากสุดก็คือเรื่องของการแจ้งเตือนนี่หละ ถ้าอยู่ในที่ทำงาน เราสามารถวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะ แล้วเข้าห้องประชุมได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดโทรศัพท์สำคัญอะไร แล้วพอมันสามารถแจ้งเตือนจากนาฬิกาได้ ในแบบสั่น หมายความว่าเราสามารถปิดเสียงโทรศัพท์ได้เลย ไม่ต้องกวนคนอื่น ส่วนเวลาอยู่ข้างนอก ก็ลดช่วงที่หยิบมือถือออกมาได้ แบบเดินจากที่ทำงานไปรถไฟฟ้า ทางมันเปลี่ยว มีอะไรก็ดูที่นาฬิกาได้เลย
แต่พอมาใช้ที่บ้านแล้วสัญญาณมันไม่ถึงห้องนั่งเล่น สภาพนั้นก็เป็นาฬิกาเฉยๆ -_-‘ (โดนหักคะแนนไป) ยิ่งตอนนี้ไลน์มีบนไอแพด แล้วเดี๋ยวจะเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นไอโฟน ใช้ Continuity ไว้บอกว่าใครโทรมาก็แทนได้เหมือนกัน
จริงๆถ้าไม่มี Pebble มันก็มีตัวช่วยตอนอยู่หน้าคอมเหมือนกัน ก็คือ Desktop Notifications for Android (Chrome / Android) ถ้าไม่กลัวข้อมูลมันไหลไปทางอินเตอร์เน็ตนะ ตัวนี้ก็ช่วยแสดงผลการแจ้งเตือนบนคอมเลย
คุมเพลง ก็ทำได้ตามนั้น (ยกเว้นเรื่อง lag ที่น่าจะเป็นที่มือถือมากกว่า)
เรื่องแอป ตอนนี้เราไม่ได้ใช้มันเต็มที่ (อย่างแอปที่คุมการทำงานของมือถือได้) ใช้ในส่วนที่เราอยากใช้ เช่นดูปฏิทิน ดูสภาพอากาศ เป็นพวกแบบดูอะไรเร็วๆ แล้วที่เหลือก็เลือกหน้าปัดแบบสวยๆมาใช้ (มันมีจุดแบ่งบางๆที่จะทำให้นาฬิกามันดู geek กับเป็นนาฬิกาธรรมดา เพียงแค่หน้าปัดเท่านั้นหละ)
แบต อยู่ได้หกถึงเจ็ดวัน นี่เป็นข้อดีมากๆ
สรุป
พูดแบบตรงๆเลย คือถ้าเป็นนาฬิกาดิจิตอลธรรมดาราคาเท่านี้เราไม่ซื้อหละ วัสดุมันไม่ใช่
มองข้ามเรื่องราคาไปก่อน ถ้าเป็นเรื่องการใช้งาน ตัว Pebble นี่ทำหน้าที่ของมันได้ดีเลยทีเดียว ถ้าอยากลดการใช้งานโทรศัพท์เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตัวนี้ก็ช่วยได้ อย่างน้อยก็เป็นตัวกรอง ดูว่าอันไหนต้องเปิดมือถือ อันไหนเพิกเฉยได้ แต่ถ้ารู้ตัวเองว่าถ้ามีคนทักมาแล้วต้องตอบกับเสมอ เจ้านี่อาจจะไม่ช่วยสักเท่าไหร่
ถ้าเทียบกับ Smartwatch แล้ว ตัวนี้ดู low tech มากสุด และจอขาวดำ แต่ข้อดีคือถูกสุด จอติดตลอดเวลา และใช้งานได้นานกว่า ที่สำคัญคือไม่ผูกกับแพลตฟอร์มตัวไหน (นึกถึงเวลาขายมือถือ ต่อไปต้องขายนาฬิกาด้วย)
กลับมาเรื่องราคา ถ้าให้ตีราคาจากภายนอกอย่างเดียว เราคงให้สัก 1,500 บาท ถ้าราคาถึงจุดนี้ได้ พร้อมๆกับมีหน้าปัดที่คนทั่วไปใช้กันได้เยอะกว่านี้ เราว่าตัวนี้ได้ไปต่อเลยนะ แต่ถ้ายังเป็นราคาสามพันอยู่ วัสดุอาจจะต้องเปลี่ยนหน่อย ให้มันสมราคา (หรือว่าให้ Steel เป็นราคานี้แทน; อืม… สี่พันก็ได้)
เพราะว่ามันคือของที่ใส่กับร่างกาย ลุคดูสำคัญสุด คนเห็นแล้วส่วนมากไม่รู้หรอกว่ามันทำอะไรได้ แต่จะดูที่ความสวยมากกว่า
ส่วนตัวเรา ก็ใส่เป็นนาฬิกาแฟชั่นแบบแนวๆ ที่เปลี่ยนหน้าปัดได้ แถมแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ได้ คุมเพลงได้ เบื่อก็กลับมาใส่เรือนเดิม ตรงตามความต้องการที่จะซื้อหละ
รภรัตน์
– Coming up: iPhone 6
Update 1: ตอนนี้มีปัญหาแล้ว จอมันกระพริบ แล้วจู่ๆก็หายไป ต้องเอามือไปกดๆจอมันถึงจะกลับมา คาดว่าเป็นเพราะตัวสั่นมันไปกระทบสายที่ต่อจอ นี่ก็เลยเมล์ไปคุย ตอนนี้ก็เคลมได้นะ รอเค้าส่งอันใหม่มาให้
- Herman Miller Aeron Chair - 11 Apr 2020
- อัพเดทของเล่น ณ ตอนนี้ - 19 May 2019
- #หมดpassion - 10 Nov 2018
TTMM is awarded watchface collection for Pebble. http://www.ttmm.eu